กล่องลูกฟูกดีกว่ากล่องทั่วไปยังไง? เลือกให้เหมาะกับสินค้า ช่วยลดต้นทุนได้จริง!

Thanutchaporn Chunamchaiporn
5 พ.ค.
ยาว 1 นาที

อัปเดตเมื่อ 23 มิ.ย.

ในโลกธุรกิจที่แข่งขันกันเรื่อง คุณภาพที่ดี ต้นทุนที่ต่ำ เเละการส่งสินค้าอย่างรวดเร็ว การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของคุณ “รอด” หรือ “รุ่ง” โดยเฉพาะหากคุณทำธุรกิจที่ต้องจัดส่งสินค้าอยู่เป็นประจำ การเลือก กล่องลูกฟูก (Corrugated Box) แทนกล่องทั่วไป คือหนึ่งในวิธีที่ได้ทั้งความปลอดภัย เเละ ความคุ้มค่า

เเล้วกล่องลูกฟูกคืออะไร?

กล่องลูกฟูก คือกล่องที่ทำจากกระดาษแข็งหลายชั้น ซึ่งมี "ลอนกระดาษ" อยู่ตรงกลาง เพื่อเสริมความแข็งแรงและรองรับแรงกระแทก โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชั้น, 3 ชั้น, 5 ชั้น หรือ 7 ชั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งาน

โครงสร้างของกล่องลูกฟูกมีส่วนประกอบดังนี้: ผิวเรียบด้านนอก (Linerboard), ชั้นลอน (Fluting) ตรงกลาง เเละ ผิวเรียบด้านใน (อีกชั้นของ Linerboard)

แล้วกล่องลูกฟูกดีกว่ากล่องทั่วไปอย่างไร?

1. แข็งแรง ทนต่อแรงกดและแรงกระแทก

ช่วยป้องกันสินค้าเสียหายระหว่างขนส่ง
เหมาะกับทั้งสินค้าเบา เช่น เครื่องสำอาง ไปจนถึงสินค้าหนัก เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักร

2. น้ำหนักเบา ช่วยประหยัดค่าขนส่ง

แม้จะทนทาน แต่กล่องลูกฟูกยังเบากว่ากล่องไม้หรือกล่องพลาสติก ทำให้ค่าขนส่งลดลงโดยไม่ลดความปลอดภัย

3. ปรับขนาดได้ตามสินค้า

ทำกล่องแบบพอดีตัว (Fit-to-size) ลดพื้นที่ว่างในกล่อง = ลดการใช้วัสดุกันกระแทก = ประหยัดต้นทุน

4. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

รีไซเคิลง่าย ย่อยสลายได้ และหากผลิตจากกระดาษที่ได้รับ FSC™ Certified ก็ช่วยเสริมภาพลักษณ์รักษ์โลกให้แบรนด์

5. พิมพ์ลายและโลโก้ได้สวย

เหมาะกับแบรนด์ที่อยากใช้บรรจุภัณฑ์เป็น “ช่องทางสื่อสาร” เช่น การพิมพ์ข้อมูลสินค้า นอกจากนี้ยังสามารถนำกระดาษลูกฟูกไปประกบกับออฟเซ็ทได้อีกด้วย (เช่น กล่องเครื่องสำอาง หรือ กล่องที่ต้องการโชว์ความสวยงาม)

เลือกให้เหมาะ = ลดต้นทุนจริงไหม?

คำตอบคือ “จริง” ค่ะ — ถ้าเลือกอย่างมีกลยุทธ์

อย่างเช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ขายสินค้าหลายขนาด หากออกแบบกล่องเฉพาะรุ่น (Custom Size) และเลือกจำนวนชั้นให้เหมาะกับน้ำหนักสินค้า จะสามารถลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ได้สูงถึง 10–25% การลดขนาดกล่องให้พอดีกับสินค้ายังช่วยลดต้นทุนกันกระแทก + ลดค่าเช่าโกดัง + ลดค่าขนส่งอีกด้วย